ดิ ออฟฟิศ ลดอาการอักเสบ


ปวดคอ ปวดหลัง ปวดเอว...ปวดจุดไหนๆ ก็กินแต่ยาคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้นี่แหละ..ที่จะทำให้คุณเสี่ยงเป็นโรคไตในอนาคต!! 


ยาคลายกล้ามเนื้อ เป็นพิษต่อไต

ทั้งยาแก้ปวดและยาคลายกล้ามเนื้อต่างเป็นกลุ่มยาที่ผู้ป่วยไม่ค่อยระมัดระวัง เพราะเข้าใจว่าเป็นยาที่ไม่อันตราย!! ซึ่งจริงๆ แล้วยาประเภทนี้ “เป็นพิษต่อไต” แถมร่างกายเรายังขับสารเคมีเหล่านี้ออกทางไต ทำให้ไตได้รับสารพิษจากยาเป็นจำนวนมากและการสะสมที่ยาวนาน ก็ทำให้เกิดโรคไตที่รุนแรงถึงขั้นไตวายได้นั่นเอง!!!

ไม่ใช่แค่ไตพัง... แต่ยังส่งผลข้างเคียงอื่นๆ อีก อาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ง่วงซึม คลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง แน่นจมูก รวมไปถึงอาการท้องผูกหรือกรดไหลย้อน ผู้ป่วยหลายคนไม่รู้ว่าอาการต่างๆ เหล่านี้นี่ล่ะ คือ “ผลข้างเคียง” ที่เกิดจากการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ และมักไปพบแพทย์ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคอื่น




สาเหตุอาการปวดคอ บ่าไหล่ ปวดสะบัก

          กล้ามเนื้อหดเกร็ง ปล่อยนานอันตรายโดยปกติแล้วกล้ามเนื้อร่างกายคนเราจะหด และคลายตัวสลับกันเป็นจังหวะ  ทำให้หลอดเลือดที่ทอดผ่านในมัดกล้ามเนื้อ สามารถส่งเลือดให้ไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าเรามีพฤติกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งนานเกินไปบ่อยๆ หลอดเลือดถูกบีบรัดนานๆ เป็นประจำ  การไหลเวียนของเลือดก็จะติดขัด  มีของเสียคั่งค้างอยู่ในกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการอักเสบ และมีอาการปวดกล้ามเนื้อขึ้น และหากไม่ได้รักษาอย่างถูกต้อง กล้ามเนื้อก็จะเคยชินกับการหดเกร็งอยู่ตลอด ไม่มีการคลายตัว กลายเป็นอาการปวดอย่างเรื้อรัง

       
          หากปล่อยอาการให้เป็นเรื้อรัง กล้ามเนื้อจะหดเกร็งมากขึ้นจนจับตัวเป็นก้อนหรือเป็นเส้นแข็งๆ  จนเราสามารถคลำเจอได้ และเมื่อกดลงไปจะรู้สึกเจ็บมาก ก้อนหรือเส้นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นพังผืดที่ก่อตัวขึ้นจากการอักเสบเรื้อรังของกล้ามเนื้อนั่นเอง
          ซึ่งหากเป็นมากถึงระดับนี้ อาจพบอาการร่วมอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายโรคไมเกรน เนื่องจากหลอดเลือดบริเวณไหล่ ลำคอที่ส่งเลือดขึ้นไปเลี้ยงศีรษะหดเกร็ง ไม่สามารถส่งเลือดขึ้นไปได้ตามปกติ หรืออาจมีอาการปวดร้าวลงสะบัก แขนชา ลงไปจนถึงมือ และปวดบั้นเอว เป็นต้น

         
          อาการปวดคอ บ่า ไหล่ ไหล่ติด ยกแขนลำบาก สะบักจม เป็นสัญญาณเตือนจากร่างกาย หากไม่หาทางแก้ไข ในอนาคตอาจต้องเตรียมรับมือกับโรคไมเกรน กล้ามเนื้อเสื่อม หมอนรองกระดูกเสื่อม โรคหลอดเลือด (อัมพฤกษ์-อัมพาต และโรคหัวใจ)





                        
                     อาการเหล่านี้ สามารถแก้ไขได้







ส่วนประกอบสารสกัด 14 ชนิด

1. Gingerol สารสกัดจากขิง จากผลการศึกษาที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าขิงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบของกล้ามเนื้อของหนูนักวิจัยได้ทำการศึกษาผลการใช้ขิงเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อในคน ผลการการศึกษาพบว่าการรับประทานขิงทุกวันช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อได้ถึง 25 % และผลที่เกิดขึ้นก็ไม่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้ขิงที่ผ่านความร้อนเพราะฉะนั้นนักวิจัยจึงสรุปว่าการบริโภคขิงทุกวันจะสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อเนื่องจากการออกกำลังกายได้และจากการศึกษาในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้ออักเสบข้อเสื่อมและมีอาการผิดปกติทางกล้ามเนื้อ (muscular discomfort) พบว่าร้อยละ 75 ของผู้ป่วยโรคข้อมีอาการปวดข้อและบวมลดลงและผู้ป่วยที่มีอาการทางกล้ามเนื้อทั้งหมดหายปวดซึ่งกลไกในการลดอาการปวดมาจากการยับยั้งการสร้างprostaglandin และleukotriene

2. Turmeric Extract เคอร์คุมินอยด์ (Curcuminiod) เป็นสารที่พบในขมิ้นชันซึ่งเป็นสารเคมีประเภทโพลีฟีนอล (Polyphenolic phytochemical) ออกฤทธิ์ทางด้านชีวเคมีหลายประการมีผลการทดลองว่าผงแห้งน้ำคั้นและสารสกัดชนิดต่างๆมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบในร่างกายทุกชนิดและยังมีงานวิจัยรองรับว่าสามารถลดการอักเสบของข้อเข่าได้

3. L-Glutamine ประมาณ 60% ของเป็นกรดอะมิโนอิสระพบกระจายอยู่ในกล้ามเนื้อมากL-Glutamine จะช่วยลดความเหนื่อยและเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ โดยL-Glutamine จะช่วยทำลายกรดแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อทำให้เราสามารถออกกำลังกายได้นานขึ้นโดยไม่เหนื่อยล้าซึ่งการออกกำลังกายได้นานขึ้นจะมีผลทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนGrowth hormone ให้มากขึ้นทางอ้อมเช่นกันช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นโดยการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว, สามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับสมองได้อีกทางหนึ่ง, ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

4. L-Lysine monohydrochloride เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทาน บทบาทสำคัญของ L-Lysine คือ เป็นสารกระตุ้นการสร้าง โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) จากต่อมใต้สมองของเรา L-Lysine เป็นสารตั้งต้นในกระบวนการผลิต Collagen คอลลาเจน ซึ่งทำให้ผิวพรรณเต่งตึง มีน้ำมีนวล และยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของ เส้นผม เล็บ กระดูก รวมทั้งกระดูกอ่อน L-Lysine ช่วยเพิ่มการดูดซึม Calcium แคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ลดโอกาสเกิดโรคงูสวัด โรคเริม

5. Capsaicin Extract สารสกัดจากพริกจากการวิจัยพบว่าสาร Capsaicin มีฤทธิ์ในการลดความรู้สึกปวดได้สามารถลดอาการปวดจากโรคข้ออักเสบได้เป็นอย่างดี ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อปวดกล้ามเนื้อ (Musculoskeletal pain) ปวดปลายประสาทchronic neuropathic pain ปวดจากโรคงูสวัดเป็นต้น

6. Acetyl-L-carnitine มีบทบาทสำคัญในส่วนของการผลิตอะซีติลโคลีน (acetylcholine) ของร่างกายอะซีติลโคลีนเป็นสารเคมีในสมองที่สำคัญที่หลั่งออกมาจากส่วนปลายของเส้นใยประสาทบริเวณเชื่อมต่อทำหน้าที่ช่วยให้กระแสประสาทถูกส่งสัญญาณผ่านจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปสู่อีกเซลล์ประสาทหนึ่งได้ช่วยให้พลังงานกับสมองกำจัดอนุมูลอิสระลดอาการเหนื่อยล้าและอาการอ่อนเพลียเรื้อรังช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์ประสาทและสมองช่วยเสริมสร้างความสามารถในการจดจำได้ดีขึ้นช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตให้ดีขึ้นชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกายช่วยลดอาการซึมเศร้า

7. Coenzyme Q10 เป็นตัวช่วยสำคัญให้ร่างกายนำออกซิเจนมาใช้งานได้มากขึ้นและช่วยให้ไมโตรคอนเดียซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานไฟฟ้าที่คอยสร้างพลังงานให้กับเซลล์ต่างๆทำงานได้ดียิ่งขึ้นQ10 จึงจำเป็นสำหรับอวัยวะที่ทำงานหนักและต้องใช้พลังงานสูงมากเป็นพิเศษเช่นหัวใจสมองตับและไตเป็นต้นQ10 ยังช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดียิ่งขึ้นช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานล้มเหลวหรือที่เรียกว่าโรคหัวใจโตนอกจากนี้Q10 ยังช่วยลดความดันโลหิตในกลุ่มของผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่เกิดจากการแข็งตัวของเส้นเลือดของอวัยวะต่างๆจนทำให้ผนังหลอดเลือดขาดความยืดหยุ่นนั่นเองจากรายงานการวิจัยพบว่าโคเอนไซม์คิวเทนสามารถลดอาการหัวใจล้มเหลวโดยพบว่าการใช้โคเอนไซม์คิวเทนทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้มากกว่า 15.7% และทำให้iร่างกายออกกำลังกายได้นานขึ้น 25.4%

8. Taurine เป็นกรดอะมิโนตัวหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อกระบวนการต่างๆช่วยควบคุมการเข้าออกของสารสื่อประสาทต่างๆจากเซลล์พบTaurineมากในเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อลายและหัวใจTaurineช่วยการทำงานของตับและตับอ่อนโดยการสร้างTaurocholateซึ่งจะไปช่วยทำให้ไขมันที่รับประทานเข้าไปแตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆสามารถถูกย่อยและเผาผลาญได้ง่ายขึ้นร่างกายของเราจึงสามารถนำพลังงานเหล่านั้นไปใช้เป็นกำลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆได้เร็วขึ้น เพิ่มพลังงานในร่างกายและกระตุ้นพลังงานให้ร่างกายมีพลังเต็มที่

9. Natural Caffeine คาเฟอีนจากธรรมชาติโดยสกัดมาจากชาเขียวช่วยให้ร่างกายตื่นตัวแตกต่างจากสารสังเคราะห์คาเฟอีนทั่วไปเพราะจะทำให้ตื่นตัวแต่แทรกภาวะหัวใจเต้นเร็วและนอนไม่หลับตาค้างแต่คาเฟอีนจากธรรมชาติจะทำให้ตื่นตัวแต่ไม่มีอาการเหล่านั้นเพราะมาจากธรรมชาติปลอดภัยซึ่งจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัวพร้อมจะออกกำลังกายได้ดียิ่งขึ้น

10. Oat straw หรือที่รู้จักในชื่อ Avena sativa โดย Oat Straw ได้มาจากข้าวโอ๊ตสีเขียวป่าซึ่งใช้เป็นเครื่องกระตุ้นสมองในการแพทย์พื้นบ้านมาตั้งแต่สมัยกลางโดยฟางข้าวโอ๊ตช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นโดยการเพิ่มคลื่นอัลฟาในสมองทำให้สมองรู้สึกตื่นตัวมากขึ้นช่วยเพิ่มไนตริกออกไซด์ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือดการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้นช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารสำคัญและออกซิเจนที่จำเป็นสำหรับสมองช่วยลดความวิตกกังวลและความเครียดโดยเพิ่มระดับ dopamine ในสมองซึ่งจะเพิ่มความรู้สึกของความสุขเพิ่มขึ้นจากการศึกษาได้ให้อาสาสมัครทั้งที่ได้รับยาหลอกหรือสารสกัดจากข้าวโอ๊ตกรีน 800 mg ในแต่ละวันเป็นเวลา 6 วันและประเมินการทำงานด้านความรู้ความเข้าใจด้วยคอมพิวเตอร์พบว่าผู้ที่ได้รับข้าวโอ๊ตกรีนสามารถทำงานได้รวดเร็วและทำงานได้ดีขึ้นอีกการศึกษาได้ให้สารแก่ผู้ป่วยสูงอายุที่มีประสิทธิภาพการทำงานด้านความรู้ความเข้าใจต่ำกว่าปกติเป็นประจำทุกสัปดาห์หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำดีขึ้นในการทดสอบเพื่อวัดความสนใจและความสามารถในการโฟกัสข้อมูลต่างๆ

11. Schisandra Berry เป็นสมุนไพรช่วยปรับสมดุลของร่างกายช่วยให้ร่างกายต้านทานต่อโรคต่างๆและความเครียดได้ดีบำรุงตับและป้องกันสารพิษเข้าทำลายเซลล์ตับแก้อาการอ่อนเพลียเรื้อรังลดอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักพักผ่อนน้อยอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดช่วยให้นอนหลับสนิทตลอดคืนจึงช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานทางกายภาพของร่างกายและลดความตึงเครียดช่วยชะลอความเสื่อมในระดับเซลล์

12. American Ginseng ช่วยต้านความเครียด สารสกัดจากโสมมีคุณสมบัติต้านความเครียดโดยช่วยปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้สามารถทนต่อความเครียดได้ในระดับหนึ่งโดยฮอร์โมนACTH จากต่อมใต้สมองจะเป็นตัวควบคุมการหลั่งฮอร์โมนต่อมหมวกไตซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันและต่อต้านความเครียดโดยเร่งกระบวนการเมตาบอลิซึมต่างๆเพื่อปลดปล่อยพลังงานและสารต่อต้านความเครียดออกมาผลต่อระบบประสาทกลาง: ในสารสกัดโสมมีคุณสมบัติกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางให้ตื่นตัวช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียดมีส่วนช่วยบำรุงสมองโดยรวมผลต่อต้านความเมื่อยล้าเพราะทำให้ร่างกายมีการปลดปล่อยพลังงานมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้เยื่อเซลล์สามารถดูดซึม Oxygen เพิ่มขึ้นถึง 21% เซลล์ในร่างกายจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและยังมีผลทำให้กระบวนการเผาผลาญภายในร่างกายเพิ่มมากขึ้นด้วย

13. Lutein พบได้ในพืชที่มีสีเหลืองถึงแดงมักพบลูทีนร่วมกับซีแซนทีน (Zeaxanthin) นิยมเรียกลูทีนและซีแซนทีนรวมๆกันมีชื่อเรียกย่อว่าL/Z L/Z เป็นสารที่พบมากในบริเวณจุดรับภาพบริเวณจอประสาทตาทำให้บริเวณนี้มีสีเหลืองบริเวณนี้และที่จุดศูนย์กลางของบริเวณจุดรับภาพที่เรียกว่าโฟเวียประกอบด้วยตัวรับแสง (photoreceptors) จำนวนมากจึงตั้งสมมติฐานว่าL/Z ทำหน้าที่ช่วยให้มองภาพได้คมชัดและเห็นรายละเอียดของภาพดีขึ้นนอกจากนั้นยังพบL/Z ได้ในเลนส์ตาฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นของL/Z มีบทบาทในการป้องกันปัญหาจากแสงยูวีในแสงแดดชะลอการเกิดต้อกระจกซึ่งเป็นภาวะเลนส์ตาขุ่นมัวอันเนื่องจากความเสื่อมของเลนส์ตาลูทีนเป็นแคโรทีนอยด์สีเหลืองซึ่งมีส่วนอย่างมากในการต่อต้านสารต้านอนุมูลอิสระโมเลกุลของลูทีนพบในปริมาณสูงในจุดของดวงตาโดยเฉพาะพื้นที่ของเรตินาที่เกี่ยวกับการรับภาพช่วยในการดูดซับแสงสีน้ำเงินซึ่งปกป้องเซลล์จากการทำลายของคลื่นแสงสีนี้ซึ่งช่วยป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตาเป็นอย่างมาก

14. Bilberry Extract ช่วยถนอมดวงตาทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้นช่วยรักษาอาการตาบอดกลางคืน (Night blindness) ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้สายตานานๆช่วยป้องกันเลนส์ตาและช่วยให้คอลลาเจนในตาในส่วนกระจกตาและหลอดเลือดฝอยแข็งแรงขึ้นช่วยลดอนุมูลอิสระในจอตาทำให้ป้องกันอาการเสื่อมที่มักจะเกิดกับดวงตาให้น้อยลงได้เช่นต้อกระจกต้อหินต้อเนื้อตาเสื่อมในคนสูงอายุ (สายตายาว)


















จัดส่งวันละ 2 รอบ รอบเช้า 10.00 น. รอบบ่าย 14.00 น.




ปรึกษาสอบถามเพิ่มเติมฟรี คลิ๊กที่ ไลน์








ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท

ดีพอต ปกป้องปอด บำรุงปอด

ท่าบริหารกล้ามเนื้อ คอ